ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี ค.ศ. 1896 Henri Becquerel ค้นพบว่า เกลือของแร่ยูเรเนียมมีรังสีประหลาดสามารถทำให้ฟิล์มถ่ายรูปดำได้ทำให้เขาเป็นคนแรกที่ค้นพบกัมมันตภาพรังสี ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
เบคเคอเรล เป็นคนแรกที่ทำการทดลองเกี่ยวกับการแผ่รังสีเอกซ์จากสารชนิดต่าง ๆ โดยการนำฟิล์มถ่ายรูปห่อสารประกอบยูเรเนียมแล้วใช้กระดาษห่อทับไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อไม่ให้แสงเข้า เมื่อนำชุดการทดลองไปวางไว้กลางแจ้งให้รับความร้อนจากแสงแดด แล้วนำฟิล์มไปล้างพบว่าฟิล์มจะดำทุกครั้งตอนแรกเบคเคอเรลคิดว่าการดำของฟิล์มเกิดจากรังสีเอกซ์ที่แผ่ออกมาจากสารประกอบยูเรเนียม เมื่อถูกความร้อนจากแสงแดด แต่มีครั้งหนึ่งเขาลืมชุดการทดลองไว้ในลิ้นชัก (จึงไม่ถูกแสงเลย) ปรากฏว่าฟิล์มที่ห่อชุดการทดลองดำคล้าย ๆ กับฟิล์มที่ถูกแสง เมื่อทำการทดลองหลาย ๆ ครั้งผลที่ปรากฏเป็นเช่นเดิม และยังพบว่ารอยดำจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนอะตอมในสารประกอบรังสีที่แผ่ออกมานี้มีสมบัติเหมือนกับรังสีเอกซ์ กล่าวคือ มีความเข้มน้อยกว่ารังสีเอกซ์ และแผ่ออกมาตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องมีโฟตอนของแสงภายนอกมาให้พลังงาน ทั้งยังทำให้อากาศแตกตัวเป็นอิออนได้ดีกว่ารังสีเอกซ์ รังสีดังกล่าวได้ชื่อว่า กัมมันตภาพรังสี และธาตุที่แผ่รังสีนี้ออกมาเรียกว่า ธาตุกัมมันตรังสี
มาดามคูรี่ เชื่อว่ารังสีประหลาดมาจากธาตุเคมีในแร่ยูเรเนียม และได้ทำการทดลองค้นคว้าอย่างอดทน จนพบและแยกธาตุนั้นออกได้ แล้วให้ชื่อว่า เรเดียม ซึ่งแปลว่า ธาตุส่องแสง สมบัติที่น่าทึ่งของเรเดียมคือ ความสามารถในการปล่อยพลังงานออกมาในสภาพรังสีได้ตลอดเวลา เมื่อได้ศึกษาการปล่อยรังสีของเรเดียมและยูเรเนียมอย่างละเอียด พบว่าเรเดียมมีน้ำหนักลดไปเล็กน้อยหลังจากทิ้งไว้นาน ๆ
ค.ศ. 1899 รัทเธอร์ฟอร์ดพบว่าธาตุยูเรเนียมแผ่รังสีได้ 2 ชนิด และได้ตั้งชื่อรังสีที่มีอำนาจทะลุทะลวงต่ำกว่า รังสีแอลฟา และรังสีที่มีอำนาจทะลุทะลวงสูงว่า รังสีบีตา
ค.ศ. 1900 วิลลาร์ดพบรังสีแกมมา ซึ่งมีอำนาจทะลุทะลวงสูงกว่ารังสีบีตา
ค.ศ. 1900 เบคเคอเรล พบว่ารังสีบีตาคืออนุภาคอิเล็กตรอนที่มีความเร็วสูงมาก
ค.ศ. 1903 แรมเชย์ และซอดดี พบว่ารังสีแอลฟาคืออะตอมของฮีเลียมที่ขาดอิเล็กตรอนไป 2 ตัว หรือนิวเคลียสของฮีเลียม และรังสีแกมมาคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงมาก (โดยมีความถี่สูงกว่ารังสีเอกซ์)
นิวคลีออน คือ อนุภาคที่รวมกันอยู่ภายในนิวเคลียส ซึ่งหมายถึง โปรตอน (Proton, ¹₁H) และนิวตรอน (Neutron, ₀¹n) สัญลักษณ์ของ Nucleus เขียนได้เป็น ᴬ𝓏X
X เป็นสัญลักษณ์ของ Nucleus นั้น
A เป็นเลขมวลของธาตุ หมายถึง จำนวน Nucleon ภายใน Nucleus หรือเป็นเลขจำนวนเต็มที่มีค่าใกล้เคียงกับมวล atom ในหน่วย u ของธาตุนั้น
Z เป็นเลขอะตอม หมายถึง จำนวนโปรตอนภายใน Nucleus
ตัวอย่างที่ 1 ทำไมฟิล์มที่แบคเคอเรลทิ้งไว้ในห้องทดลอง โดยไม่ถูกแสงแดดเลยจึงปรากฏดำเข้มกว่าฟิล์มที่ได้จากชุดการทดลองที่นำไปวางไว้กลางแดด
แนวคำตอบ เพราะการสลายตัวของรังสี (ซึ่งทำให้ฟิล์มเสีย) ไม่ขึ้นกับความร้อนหรือแสงแดดแต่อยู่ที่เวลาเท่านั้น
ตัวอย่างที่ 2 เบคเคอเรลทราบได้อย่างไรว่ารังสีที่ออกมาจากสารประกอบของยูเรเนียมไม่ใช่รังสีเอกซ์
แนวคำตอบ เพราะรังสีเอกซ์จะหมดไปทันทีถ้าไม่มีไฟฟ้าแรงสูงป้อนเข้าไป
ตัวอย่างที่ 3 เบคเคอเรลค้นพบกัมมันภาพรังสีจากสารประกอบในข้อใด
1.ทอเรียม 2. ตะกั่ว 3. เรเดียม 4. ยูเรเนียม
เฉลย ข้อที่ถูกต้องคือ ข้อ 4 ยูเรเนียม
กัมมันตภาพรังสีมี 3 ชนิด คือ รังสีแอลฟา (alpha) รังสีบีตา (Beta) และรังสีแกมมา (gamma)
รังสีแอลฟา (alpha) คือ นิวเคลียสของอะตอมของธาตุฮีเลียมซึ่งประกอบด้วยโปรตอน 2 อนุภาค และนิวตรอน 2 อนุภาค มีมวลประมาณ 4U และมีประจุ +2e โดยเฉลี่ย มีพลังงานประมาณ 4 – 10 MeV เมื่อเคลื่อนที่ผ่านอากาศจะทำให้อากาศที่รังสีผ่านเกิดการแตกตัวเป็นอิออนได้จำนวนมาก (เพราะอนุภาคแอลฟามีขนาดใหญ่และมีประจุมากกว่ารังสีชนิดอื่น จึงเกิดชนและเหนี่ยวนำอะตอมของอากาศให้แตกตัวได้มาก) ทำให้อนุภาครังสีแอลฟามีการสูญเสียพลังงานอย่างรวดเร็วจึงมีอำนาจการทะลุผ่านน้อย (สามารถวิ่งผ่านอากาศไปได้ไกลเป็นระยะทางประมาณ 3-5 เซนติเมตรเท่านั้น) ดังนั้นเพียงกระดาษแผ่นบาง ๆ ก็จะสามารถกั้นรังสีชนิดนี้ไม่ให้ผ่านได้ และจากมวลและประจุของอนุภาคแอลฟา
รังสีบีตา (Beta) คือ อิเล็กตรอน เป็นอนุภาคมีมวล, มีประจุไฟฟ้าลบ, เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมากเกือบเท่าความเร็วแสง, มีมวลน้อยมากเมื่อเทียบกับอำนาจทะลุทะลวงปานกลาง
รังสีแกมมา (Gamma rays) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความยาวช่วงคลื่นสั้นมาก, ความถี่สูง (มากกว่ารังสี X) มีความเร็วเท่ากับแสงในสุญญากาศ, มีอำนาจทะลวงสูง, ไม่มีประจุไฟฟ้า (จึงไม่เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าหรือในสนามแม่เหล็ก) ผ่านคอนกรีตหนา 1/3 เมตร ได้เช่นเดียวกับรังสีเอกซ์ เนื่องจากรังสีแกมมาเป็นรังสีที่ไม่มีมวลและประจุไฟฟ้า จึงทำให้สสารที่รังสีนี้ผ่านเกิดการแตกตัวได้น้อยมาก
การสลายตัวให้รังสีแกมมา (Gamma decay ) รังสีเกิดจากการเปลี่ยนระดับพลังงานใน Nucleus ถ้า Nucleus อยู่ในระดับพลังงานสูงก่อนที่จะกลับสู่ภาวะพื้นฐาน Nucleus จะต้องคายพลังงานออกในรูปของรังสี Gamma
ตัวอย่างที่ 1 จงเลือกข้อความให้เหมาะสมที่สุดกับกัมมันตรังสี แอลฟา, บีตา, แกมมา
ตัวอย่างที่ 2 ทำไมเราจึงทราบว่ ารังสี แอลฟา, บีตา, แกมมา มีประจุไฟฟ้าบวก, ลบ และเป็นกลาง
ตอบ ดูจากการเบนของรังสีในสนามแม่เหล็ก โดยรังสีแกมมาจะไม่เบนในสนามแม่เหล็กจึงไม่มีประจุไฟฟ้า รังแอลฟาจะเบนในสนามแม่เหล็กเหมือนประจุบวกทั่วไป และรังสีบีตาจะเบนในสนามแม่เหล็กแต่มีทิศตรงข้ามกับรังสีแอลฟาจึงเป็นประจุไฟฟ้าลบ และรังสีบีตาจะเบนมากที่สุด รัศมีความโค้งสั้น
ปฏิกิริยานิวเคลียร์ คือ กระบวนการเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบที่นิวเคลียส โดยทั่วไปปฏิกิริยานิวเคลียร์เกิดจากการยิงอนุภาคต่าง ๆ เช่น นิวตรอน, โปรตอน, ดิวเทอรอน, แอลฟา ที่ถูกเร่งให้มีความเร็วสูง ชนเป้าซึ่งเป็นนิวเคลียสของธาตุ ทำให้เปลี่ยนองค์ประกอบของนิวเคลียสเดิม หรือเกิดนิวเคลียสของธาตุใหม่ขึ้น เช่น ยิงดิวเทอรอนไปที่ C – 12
¹²₆C + ²₁H -----> ¹³₇N + ¹₀n
ปฏิกิริยานี้
อนุภาคที่วิ่งเข้าชน คือ ²₁H
นิวเคลียสที่เป็นเป้า คือ ¹²₆C
นิวเคลียสของธาตุใหม่ คือ ¹³₇N
อนุภาคที่เกิดขึ้นมา คือ ¹₀n
จึงเขียนเป็นสมการได้ว่า x + a ---> y + b หรือเขียนย่อ ๆ ว่า x(a, b)y และเรียกชื่อปฏิกิริยานี้ว่า (a, b) ของนิวเคลียส x ดังนั้น สมการตอนแรก ย่อมเรียก ชื่อปฏิกิริยาว่า (d, n) ของนิวเคลียส 126C
¹₁H หมายถึง ไฮโดรเจนนิวเคลียส หรือ โปรตอน
²₁H หมายถึง ดิวทีเรียมนิวเคลียส หรือ ดิวทีรอน
³₁H หมายถึง ทริเตียมนิวเคลียส หรือ ทริตอน
¹₀n หมายถึงนิวตรอน
⁰₋₁e หมายถึง อิเล็กตรอน
⁰₊₁e หมายถึง โพสิตรอน
³₂H หมายถึง Helium -3 เป็นไอโซโทปของฮีเลียม
⁴₂H หมายถึง นิวเคลียสของฮีเลียมปกติ
ตัวอย่างที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างเลขมวลอะตอม Z และเลขมวล A เมื่อจำนวนนิวตรอนในนิวเคลียสเท่ากับ N คือข้อใด
เฉลยคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ 1 เพราะเลขมวล = จำนวน P + จำนวน n
A = Z + N
ตัวอย่างที่ 2 จงพิจารณาอะตอมของ ²¹⁰₈₄Po ข้อใดถูกต้อง
เฉลย คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ 2 ²¹⁰₈₄Po แสดงว่า เลขอะตอมเป็น 84 มีจำนวนโปรตอน 84 ตัว (มีจำนวนอิเล็กตรอน 84 ตัว ในอะตอมที่เป็นกลาง) และมีนิวตรอน
เท่ากับ 210 – 84 =126 ตัว
เวลาครึ่งชีวิต คือเวลาที่สารนั้นใช้ในการสลายตัวไปจนเหลือครึ่งหนึ่งของปริมาณเดิม สมมติสารกัมมันตรังสีอย่างหนึ่ง มีมวล No กิโลกรัม มีมวลครึ่งชีวิต = t ชั่วโมง หมายความว่า
ในเวลา t ชั่วโมง ต่อไป จะเหลือ N₀ /2 กิโลกรัม
ในเวลา t ชั่วโมง ต่อไป จะเหลือ (N₀ /2)/2 = N₀ /2² กิโลกรัม
ในเวลา t ชั่วโมง ต่อไป จะเหลือ (N₀ /22 )/2 = N₀ /2³ กิโลกรัม
ในเวลา n = ช่วงของเวลาครึ่งชีวิต (Half life) จะเหลือ N₀ /2ⁿ
จะได้ N = N₀ /2ⁿ
N คือ มวลที่เหลือ
N₀ คือ มวลในตอนแรก
N คือ จำนวนช่วงของ เวลาครึ่งชีวิต (Half life)
หมายเหตุ ถ้าเวลาครึ่งชีวิตเป็น T ชั่วโมง
เวลา t ชั่วโมง จะเป็นกี่ช่วงของ เวลาครึ่งชีวิต (Half life)
T ชั่วโมง เป็น 1 ช่วง
ดังนั้น t ชั่วโมง เป็น t /T ช่วง
จะได้ จำนวนช่วง เวลาครึ่งชีวิต (Half life) (n) = t /T
การคำนวณ เวลาครึ่งชีวิต (Half life) ที่ไม่เป็นครึ่งหนึ่งพอดี
ถ้าเวลาครึ่งชีวิตของสารกัมมันตรังสีเป็น T วัน
ดังนั้น จะได้ว่า t วัน ย่อมเป็น t /T ช่วง (ของเวลาครึ่งชีวิต (Half life))
N = N₀ /2ⁿ
N/N₀ = 1/2ⁿ
= (1/2)ⁿ
จะได้ N/N₀ = (1/2)ᵗ/ᵀ
การสลายตัว คือ การที่นิวเคลียสของสารอยู่ในสภาวะถูกกระตุ้น จะปล่อยอนุภาคออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นนิวเคลียสของธาตุใหม่
กัมมันตภาพ (Activity) คือ อัตราการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี
ค.ศ. 1902 รัทเทอร์ฟอร์ดและซอดดี (Soddy) ได้ตั้งกฎการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีว่า การสลายตัวของนิวเคลียสนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่านิวเคลียสตัวใดจะสลายตัวเมื่อใด บอกได้เพียงความน่าจะเป็น (Probability) ของการสลายตัวของนิวเคลียสเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม พบว่า การสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี จะเป็นไปตามหลักสถิติของโอกาสและกระบวนการสุ่ม คือ ในขณะที่จำนวนนิวเคลียสธาตุกัมมันตรังสีนั้นมีอยู่มากนิวเคลียสที่สลายตัวจะมีจำนวนมากและเมื่อจำนวนนิวเคลียสมีอยู่น้อย นิวเคลียสที่สลายตัวก็จะมีจำนวนน้อย นิวเคลียสจะไม่ได้สลายตัวพร้อมกันหมด แต่ทุก ๆ นิวเคลียสจะมีโอกาสในการสลายตัวเท่า ๆ กัน
ดังนั้นที่เวลาหนึ่ง ๆ อัตราการสลายตัวของนิวเคลียสธาตุกัมมันตรัง จะแปรผันโดยตรงกับจำนวนของนิวเคลียสธาตุกัมมันตรังสีชนิดนั้นที่มีอยู่ในขณะนั้น
ถ้าให้ที่เวลา t ใด ๆ มีจำนวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีอยู่จำนวน N นิวเคลียส (อะตอม) เมื่อเวลาผ่านไปช่วงเวลาสั้น ๆ เป็น Δt มีนิวเคลียสสลายตัวไปเป็นจำนวน ΔN (ในช่วงเวลา Δt นั้น) อัตราการสลายตัว คือ จำนวนนิวเคลียสที่สลาย (ΔN) ต่อเวลาที่ใช้ (Δt) จะแปรผันตรงกับจำนวนนิวเคลียส (N) ขณะนั้น
อัตราการสลายตัว = ΔN/Δt แปรผันตรงกับ N
หรือเขียนเป็นสมการได้คือ ΔN/Δt = - λN
เมื่อ λ คือ ค่าคงตัวของการสลายตัวของนิวเคลียสธาตุกัมมันตรังสี (ซึ่งจะขึ้นกับชนิดของธาตุกัมมันตรังสีหนึ่ง ๆ) เรียกว่า ค่าคงตัวการสลายตัว (decay constant หน่วยเป็นต่อวินาที หรือ s⁻¹ ) ส่วนเครื่องหมายลบ ในสมการแสดงถึงการสลายตัวที่เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบลดจำนวนลงของนิวเคลียส
นักวิทยาศาสตร์ พบว่า มีช่วงเวลาอันหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่คงที่สำหรับการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี คือ เวลาที่จะทำให้ธาตุกัมมันรังสีสลายตัวจนเหลือครึ่งหนึ่งของจำนวนตั้งต้น (คือ เป็นเวลาที่จะทำให้ m = m₀ /2) ช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะเรียกว่า เวลาครึ่งชีวิต Half life ใช้สัญลักษณ์เป็น (T₁/₂) กล่าวคือ เมื่อเวลาผ่านไปเท่ากับเวลาครึ่งชีวิต (t = T₁/₂ ) จะทำให้ธาตุกัมมันตรังสีสลายตัวจนเหลือครึ่งหนึ่งของจำนวนตั้งต้น (m = m₀ /2) และเวลาครึ่งชีวิตจะสัมพันธ์กับค่าคงที่การสลายตัวตามสูตร T₁/₂ = 0.693/ λ
และเนื่องจากค่าคงตัวการสลายเป็นค่าคงที่สำหรับธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่ง ๆ ดังนั้น ช่วงเวลาครึ่งชีวิต (T₁/₂) จึงต้องเป็นค่าที่คงที่สำหรับธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่ง ๆ ด้วย กล่าวคือ ไม่ว่าจำนวนธาตุกัมมันตรังสีเริ่มต้นจะเป็นเท่าไรช่วงเวลาที่จะสลายจนเหลือครึ่งหนึ่งของจำนวนเริ่มต้นนั้นจะเท่ากันเสมอ เช่น ถ้ามีกัมมันตรังสีชนิดหนึ่งเริ่มต้นมีอยู่ 200 หน่วย สลายตัวจนเหลือครึ่งหนึ่ง คือ 100 หน่วย จะใช้เวลาเท่ากันกับ การสลายตัวจาก 100 หน่วยไปจนเหลือครึ่งคือ 50 หน่วย และจะใช้เวลาเท่ากันกับการสลายตัวจาก 50 หน่วยไปจนเหลือครึ่ง คือ 25 หน่วย (ช่วงเวลาดังกล่าวจึงเรียกว่า เวลาครึ่งชีวิต)
ตัวอย่างที่ 1 ข้อใดต่อไปนี้คือความหมายของค่าสลายตัวคงที่
เฉลย คำตอบที่ถูกต้อง คือ ข้อ 2 เพราะ ค่าสลายตัวคงที่ คือโอกาสที่ 1 นิวเคลียสจะแผ่รังสีได้ใน 1 หน่วยเวลา
ตัวอย่างที่ 2 ละอองกัมมันตรังสีที่ปนเปื้อนมากับนมผงลอยลมจากรัสเชีย ทำให้ประเทศยุโรปผลิตนมเปื้อนสารรังสีส่งมาขายยังประเทศไทย สารกัมมันตรังสีที่ปนเปื้อนมีหลายชนิด สมมติว่าทุกชนิดมีปริมาณของละอองใกล้เคียงกันสารที่มีครึ่งชีวิตเท่าใดที่จะเป็นปัญหามากที่สุด (นมผงที่มีรังสีปนเปื้อนมาถึงไทยใช้เวลา ประมาณ 4 เดือน)
เฉลย คำตอบที่ถูกต้อง คือ ข้อ 3 เพราะ ข้อ 2, 4 สลายหมดเร็ว อันตรายน้อย (เพราะสลายไปมาก ก่อนถึงประเทศไทย)
ข้อ 1 แผ่ใช้เวลานานเกินไป จึงแผ่ออกมาน้อยมาก
ข้อ 3 แผ่รังสีออกมาค่อนข้างมาก ในช่วงเวลา 3 ปี, 6 ปี
เมื่อเราให้พลังงานที่พอเหมาะแก่นิวเคลียส จะสามารถทำให้นิวคลีออนที่ประกอบเป็นนิวเคลียสนั้นแยกตัวออกจากกันเป็นอนุภาคเดี่ยว ๆ เมื่ออนุภาคโปรตอน และนิวตรอน (ซึ่งเป็นนิวคลีออน) เกิดการรวมตัวกันขึ้นเป็นนิวเคลียสของอะตอมก็จะเกิดการคายพลังงานส่วนหนึ่งออกมา พลังงานที่ทำให้นิวเคลียสแยกตัวออกและพลังงานที่คายออกมาเมื่อนิวคลีออนรวมตัวเป็นนิวเคลียสจะมีค่าเท่ากัน ค่าพลังงานนี้เรียกว่า พลังงานยึดเหนี่ยว (Binding energy, BE.)
จะพบว่าจากการที่ได้ศึกษาพลังงานยึดเหนี่ยวจะทำให้เราทราบว่าพลังงานยึดเหนี่ยวเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็พบว่าเมื่อเปรียบเทียบมวลของโปรตอนและนิวตรอนที่รวมตัวกันเพื่อเกิดเป็นนิวเคลียส กับมวลของนิวเคลียสที่เกิดจากการรวมตัวนั้น มีค่าไม่เท่ากัน กล่าวคือ มวลของโปรตอนและนิวตรอนที่รวมกันจะมีค่ามากกว่ามวลของนิวเคลียสที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวนั้นเสมอ แสดงว่าการรวมกันของนิวคลีออนเพื่อเกิดเป็นนิวเคลียสจะมีมวลส่วนหนึ่งหายไป มวลที่หายไปนี้เรียกว่า มวลพร่อง (mass defect ใช้สัญลักษณ์ย่อเป็น Δm) ซึ่งมวลที่หายไปนี้ไอน์สไตน์อธิบายว่าจะเปลี่ยนไปเป็นพลังงานตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาที่ว่า E = mc² และพลังงานที่ได้นี้ก็คือพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวคลีออนที่ประกอบกันเป็นนิวเคลียสนั่นเอง
พิจาณานิวเคลียสธาตุ ᴬ𝓏X ที่มีเลขมวล A เลขอะตอม Z นิวเคลียสนี้ประกอบด้วยโปรตอน Z ตัว และนิวตรอนจำนวน (A – Z) ตัว เขียนเป็นปฏิกิริยาการรวมตัวของโปรตอน และนิวนิวตรอนเกิดเป็นนิวเคลียส X คือ
Z(¹₁H) + (A –Z) ¹₀n ---> ᴬ𝓏X
ถ้าให้โปรตอนมีมวล mₚ ให้นิวตรอนมีมวล mₙ และนิวเคลียสธาตุ X มีมวล mₓ มวลพร่องหรือมวลที่หายไปในการรวมตัวของโปรตอนกับนิวตรอนเพื่อเป็นนิวเคลียส X จะเท่ากับมวลรวมของโปรตอนกับนิวตรอน ลบด้วยมวลนิวเคลียส เขียนเป็นสมการ คือ
Δm = (Z(mₚ) + (A – Z) mₙ) - mₓ
มวลพร่อง ที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นพลังงานที่คายออกมา ซึ่งจะเป็นพลังงานยึดเหนี่ยว (BE.) ของนิวเคลียสตามสมการ
BE. = (Δm)c² เมื่อ c คือความเร็วแสง = 3 x 10⁸ m/s
จากทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ มวลและพลังงานสามารถจะเปลี่ยนรูปกันได้ตามความสัมพันธ์
นั่นคือ ถ้ามีมวล m = 1 กิโลกรัม หายไปจะกลายเป็นพลังงานที่มีค่า
ในทำนองกลับกัน พลังงานจำนวน 9 x 10¹⁶ จูล ถ้าหายไปก็จะกลายเป็นมวลขนาด 1 กิโลกรัม
แต่ในระดับของอะตอม มวลที่หายไปจะน้อยมากมีหน่วยเป็น u (unified atomic mass unit) จึงอาจคิดค่าพลังงานเทียบกับมวลในหน่วยของ u คือ สำหรับมวล 1 u = 1.6605 x 10⁻²⁷ กิโลกรัม เมื่อเปลี่ยนกลายเป็นพลังงานจะเทียบเท่ากับพลังงาน
E = (1.6605 x 10⁻²⁷)(2.9979 x 10⁸)²
= 1.4923 x 10⁻¹⁰ จูล
เมื่อเปลี่ยนเป็นหน่วย eV; E = (1.4923 x 10⁻¹⁰)/(1.6022 x 10⁻¹⁹)
= 931.44 x 10⁶
= 931 MeV
ดังนั้น มวล 1 u จะเทียบเท่ากับพลังงานประมาณ 931 MeV
ดังนั้นถ้ามีมวล (Δm) u หายไปจะกลายเป็นพลังงานตามความสัมพันธ์
BE. = (Δm)(931) MeV
ค่ามวลที่นำมาคำนวณค่าพลังงานยึดเหนี่ยวนั้น (Δm)จะต้องเป็นมวลของนิวเคลียสจริง ๆ (คือมวลอะตอมลบด้วยมวลอิเล็กตรอนในอะตอมนั้น) แต่ในทางปฏิบัติเราสามารถใช้มวลอะตอมมาคำนวณได้เลย เพราะในการรวมตัวนั้นทั้งสองข้างสมการจะต้องมีประจุเท่ากันคือมวลอะตอมทั้งสองข้างจะถูกลบด้วยอิเล็กตรอนในจำนวนที่เท่ากัน ทำให้การนำมวลอะตอมมาคำนวณจึงไม่ต่างกับการนำมวลนิวเคลียสมาคำนวณ
จากการคำนวณค่าพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียสธาตุต่าง ๆ พบว่า ค่าพลังงานยึดเหนี่ยวจะแปรผันตรงกับจำนวนนิวคลีออนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงว่านิวคลีออนที่เพิ่มขึ้นจะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนิวคลีออนเดิมเปลี่ยนแปลง ทำให้ได้ข้อสรุปว่า แรงนิวเคลียร์ซึ่งเป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างนิวคลีออนในนิวเคลียสนั้น จะเป็นแรงที่กระทำเฉพาะนิวคลีออนที่ติดกันเท่านั้น (คือเป็นแรงในช่วงสั้น ๆ พ้นจากระยะนี้แล้วอำนาจดึงดูดของแรงจะหมดไป) ดังนั้นการจะพิจารณาว่านิวเคลียสใดมีเสถียรภาพมากกว่ากัน (นิวเคลียสที่มีเสถียรภาพมากคือ นิวคลีออนของนิวเคลียสหลุดออกไปได้ยาก หรือต้องใช้พลังงานสูงในการแยกนิวคลีออน) จึงต้องพิจารณาจากพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของนิวเคลียสนั้น นิวเคลียสที่มีพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนสูงกว่าก็จะมีเสถียรภาพมากกว่า (แตกตัวได้ยากกว่า)
พลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน (BE./nucleon) = (พลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียส)/(จำนวนนิวคลีออนในนิวเคลียส)
การที่โปรตอนและนิวตรอนสามารถอยู่กันได้ในนิวเคลียส เพราะมีพลังงานยึดเหนี่ยว
ตัวอย่างที่ 1 ข้อใดถูกต้อง ถ้าพลังงานยึดเหนี่ยวในนิวเคลียสเมื่อเทียบกับ Ionization Energy ของอะตอม
เฉลย คำตอบที่ถูกต้องคือข้อ 3 BE. ในนิวเคลียสมีค่าในหน่วย MeV เพราะประจุอยู่ใกล้กันมาก ต้องใช้พลังงานยึดเหนี่ยวมาก ส่วน Ionization Energy มีค่าในหน่วย eV เท่านั้น
ตัวอย่างที่ 2 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
เฉลย คำตอบที่ถูกต้องคือข้อ 3 ค่าพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียสจะเพิ่มขึ้น เมื่อจำนวนนิวคลีออนเพิ่มขึ้น
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงปฏิกิริยาของนิวเคลียส (Nuclear Reaction) ก่อน ซึ่งปฏิกิริยาของนิวเคลียส ส่วนมากเกิดจากการยิงอนุภาคแอลฟา โปรตอนและนิวตรอนเข้าไปชน Nucleus ทำให้ Nucleus แตกออก ปฏิกิริยาของนิวเคลียส มีส่วนสำคัญ คือ
จากการศึกษาเรื่องของพลังงานนิวเคลียร์ของปฏิกิริยานิวเคลียร์ เราสามารถสรุปได้ว่าถ้าผลรวมของพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียสก่อนเกิดปฏิกิริยามีค่าน้อยกว่าผลรวมของพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียส หลังเกิดปฏิกิริยา ปฏิกิริยานิวเคลียร์นั้นจะเป็นปฏิกิริยาที่คายพลังงานให้แก่สิ่งแวดล้อม เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนกับเลขมวลนิวเคลียสธาตุต่าง ๆ ในธรรมชาติ จะแบ่งกลุ่มออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือนิวเคลียสขนาดเล็ก เลขมวล 1 ถึง 50) นิวเคลียสขนาดกลาง(เลขมวล 51 ถึง 150) และ นิวเคลียสขนาดใหญ่ (เลขมวลมากกว่า 150 ขึ้นไป) นิวเคลียสขนาดกลางจะมีพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนมากกว่านิวเคลียสขนาดใหญ่ และนิวเคลียสขนาดเล็ก ดังนั้นธาตุในธรรมชาติจะสามารถนำมาทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์แล้วคายพลังงานออกมาให้เราได้ 2 แบบ คือ
ซึ่งปฏิกิริยาทั้ง 2 แบบข้างต้นจะเป็นปฏิกิริยาคายพลังงาน เพราะเป็นการเปลี่ยนนิวเคลียสที่มีพลังงานยึดเหนี่ยวน้อยไปเป็นนิวเคลียสที่มีพลังงานยึดเหนี่ยวมาก
การทำให้นิวเคลียสขนาดกลางแตกตัวเป็นนิวเคลียสขนาดเล็กจะไม่เรียกว่าฟิชชัน หรือการทำให้นิวเคลียสขนาดกลางรวมตัวเป็นนิวเคลียสขนาดใหญ่ก็จะไม่เรียกว่า ฟิวชัน เพราะ เป็นปฏิริยาที่ดูดพลังงานจากสิ่งแวดล้อม
ในปี พ.ศ. 2477 เฟอร์มิ นักฟิสิกส์ชาวอิตาลีได้พบว่า เมื่อยิงนิวตรอนไปยังนิวเคลียสของยูเรเนียมจะทำให้ยูเรเนียมแตกตัวออกเป็น 2 นิวเคลียสที่มีเลขมวลใกล้เคียงกัน พร้อมกับปลดปล่อยพลังงานออกมาประมาณ 200 MeV ต่อหนึ่งปฏิกิริยา เราเรียกปฏิกิริยาที่มีนิวตรอนพุ่งชนนิวเคลียสของยูเรเนียม แล้วทำให้นิวเคลียสของยูเรเนียมแตกตัวเป็น 2 นิวเคลียสขนาดกลางนี้ว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิชชัน
นิวตรอนที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิชชัน จะต้องมีพลังงานที่เหมาะสม ในกรณีฟิชชันของ U – 235 นี้ นิวตรอนต้องมีพลังงานต่ำประมาณ 1 eV. หรือน้อยกว่า
ในการเกิดปฏิกิริยาฟิชชันแต่ละปฏิกิริยาจะได้พลังงานประมาณ 200 MeV. พลังงานนี้แม้จะมีค่ามากสำหรับอะตอมหรืออนุภาคเล็ก ๆ แต่สำหรับในชีวิตประจำวันพลังงานนี้ถือว่าน้อยมาก (200 MeV = 3.2 x 10-11 จูล) การจะใช้พลังงานจากปฏิกิริยาฟิชชันจึงต้องทำให้เกิดฟิชชันเป็นจำนวน มาก ๆ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็ต้องใช้จำนวนนิวตรอนเป็นจำนวนมากด้วย (การจะทำให้เกิดฟิชชันได้ต้องยิงนิวตรอนไปยังนิวเคลียสเป้าหมาย) และจากฟิชชันของ U – 235 จะสามารถให้นิวตรอนเกิดขึ้นอีก 2-3 ตัว ดังนั้นถ้ายิงนิวตรอนตัวแรกไปยังนิวเคลียสของ U – 235 เมื่อเกิดฟิชชันจะเกิดนิวตรอนขึ้น 2-3 ตัว นิวตรอนเหล่านี้จะถูกทำให้พลังงานลดลงจนเหมาะสม แล้ววิ่งชนนิวเคลียสของ U – 235 ข้างเคียง ทำให้เกิดฟิชชันต่อไป ทำให้เกิดนิวตรอนเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งจะวิ่งชนนิวเคียสของ U – 235 ข้างเคียงต่อไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิชชันอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนปฏิกิริยาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เรียกว่า เกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ (chain reaction) ทำให้ได้พลังงานจำนวนมหาศาลในเวลาสั้น ๆ อย่างไรก็ตามในการเกิดปฏิกิริยาฟิชชัน นิวเคลียสขนาดกลางที่ได้ส่วนใหญ่เป็นนิวเคลียสกัมมันตรังสี ซึ่งจะสลายตัวและแผ่รังออกมาก่อให้เกิดอันตรายได้จึงต้องมีการควบคุมและเก็บรักษาไว้อย่างดี
เป็นปฏิกิริยาการรวมตัวของธาตุเบา คือ ไฮโดรเจน ทำให้เกิดเป็นนิวเคลียสที่ใหญ่ขึ้น ปฏิกิริยาการรวมตัวแบบฟิวชันของไฮโดรเจนนี้จะเกิดได้ต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก (มากกว่าล้านองศาเซลเซียส) เพราะนิวเคลียสเป็นประจุบวกจะผลักกันไม่สามารถมารวมกันได้ง่าย ๆ การจะให้นิวเคลียสรวมกันได้ต้องทำให้นิวเคลียสมาอยู่ใกล้ ๆ เป็นระยะน้อยกว่า 10-15 เมตร เพื่อให้เกิดแรงนิวเคลียร์ยึดอนุภาคของนิวเคลียสเข้าไว้ด้วยกัน และเชื่อกันว่าดาวฤกษ์และดวงอาทิตย์ผลิตพลังงานจำนวนมหาศาลด้วยวิธีการแบบนี้ และในห้องปฏิบัติการบนโลกมนุษย์ ปฏิกิริยาฟิวชันที่ทำได้คือ การรวมตัวของดิวเทอเรียมไปเป็นฮีเลียม
จากความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาฟิชชันและปฏิกิริยาฟิวชัน ซึ่งเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่สามารถให้พลังานจำนวนมากเมื่อเทียบกับมวลของเชื้อเพลิง ปัจจุบันมีการใช้พลังงานนิวเคลียร์ใน 2 รูปแบบ คือ ทำเป็นระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งจะมีอำนาจในการทำลายอย่างมหาศาล (สามารถทำได้ทั้งแบบฟิชชันและฟิวชัน) และทำเป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่จะควบคุมพลังงานนิวเคลียร์ให้เกิดขึ้นในขนาดที่พอเหมาะอย่างต่อเนื่อง (ปัจจุบันสามารถทำได้เฉพาะแบบฟิชชันเพราะแบบฟิวชันต้องใช้อุณหภูมิสูงมากในการควบคุมซึ่งยังควบคุมไม่ได้) มีการนำไปใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ขับเคลื่อนเรือดำน้ำหรือเรือเดินสมุทรทดแทนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ
ฟิสิกส์ของอนุภาค (หรือเรียกว่าฟิสิกส์พลังงานสูง ) เป็นสาขาของฟิสิกส์ว่าการศึกษาธรรมชาติของอนุภาคที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องและการฉายรังสี แม้ว่าคำว่าอนุภาคสามารถหมายถึงวัตถุขนาดเล็กมากหลายประเภท (เช่นโปรตอนอนุภาคของก๊าซหรือแม้แต่ฝุ่นในครัวเรือน) ฟิสิกส์ของอนุภาคมักจะตรวจสอบอนุภาคที่เล็กที่สุดที่ตรวจพบไม่ได้และปฏิสัมพันธ์พื้นฐานที่จำเป็นในการอธิบายพฤติกรรมของพวกมัน
ในความเข้าใจปัจจุบันอนุภาคมูลฐานเหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นของสนามควอนตัมที่ควบคุมปฏิสัมพันธ์ของพวกมันด้วย ทฤษฎีที่โดดเด่นในปัจจุบันอธิบายอนุภาคพื้นฐานเหล่านี้และสาขาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาจะเรียกว่ารุ่นมาตรฐาน ดังนั้นฟิสิกส์ของอนุภาคที่ทันสมัยโดยทั่วไปสำรวจรุ่นมาตรฐานและส่วนขยายที่เป็นไปได้ต่าง ๆ เช่นไปที่ใหม่ล่าสุด "รู้จักกันดี" อนุภาคโบซอนฮิกส์หรือแม้กระทั่งสนามพลังที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จักกันแรงโน้มถ่วง
การวิจัยอนุภาคฟิสิกส์สมัยใหม่มุ่งเน้นไปที่อนุภาครวมทั้งประชาชนในเขตเลือกตั้งของอะตอมเช่นอิเล็กตรอน , โปรตอนและนิวตรอน (โปรตอนและนิวตรอนเป็นอนุภาคคอมโพสิตเรียกว่าbaryonsทำจากควาร์ก ) ที่ผลิตโดยกัมมันตรังสีและการกระเจิงกระบวนการเช่นโฟตอน , นิวตริโนและมิวออนเช่นเดียวกับความหลากหลายของอนุภาคที่แปลกใหม่
การเปลี่ยนแปลงของอนุภาคยังถูกควบคุมโดยกลศาสตร์ควอนตัม ; พวกมันแสดงความเป็นคู่ของคลื่น - อนุภาคโดยแสดงพฤติกรรมคล้ายอนุภาคภายใต้เงื่อนไขการทดลองบางอย่างและพฤติกรรมที่เหมือนคลื่นในสิ่งอื่น ๆ ในแง่เทคนิคเพิ่มเติมพวกเขาอธิบายโดยเวกเตอร์สถานะควอนตัมในอวกาศฮิลเบิร์ตซึ่งได้รับการปฏิบัติในทฤษฎีสนามควอนตัมเช่นกัน ตามแบบแผนของนักฟิสิกส์อนุภาคคำว่าอนุภาคมูลฐานถูกนำไปใช้กับอนุภาคเหล่านั้นซึ่งตามความเข้าใจในปัจจุบันสันนิษฐานว่าไม่สามารถแบ่งแยกได้และไม่ประกอบด้วยอนุภาคอื่น ๆ
อนุภาคทั้งหมดและการมีปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาตั้งข้อสังเกตถึงวันที่สามารถอธิบายได้เกือบทั้งหมดโดยทฤษฎีสนามควอนตัมที่เรียกว่ารุ่นมาตรฐาน แบบจำลองมาตรฐานตามสูตรปัจจุบันมีอนุภาคมูลฐาน 61 อนุภาค อนุภาคมูลฐานเหล่านี้สามารถรวมตัวกันเป็นอนุภาคคอมโพสิตซึ่งมีจำนวนอนุภาคอื่น ๆ อีก
ประเภท | รุ่น | แอนตี้พอร์ติเคิล | สี | รวม | คาร์ก | 2 | 3 | คู่ | 3 | 36 | เลปตัน | 2 | 3 | คู๋ | ไม่มี | 12 | กลูออน | 1 | ไม่มี | เป็นเจ้าของ | 8 | 8 | โฟตอน | 1 | ไม่มี | เป็นเจ้าของ | ไม่มี | 1 | Z Boson | 1 | ไม่มี | เป็นเจ้าของ | ไม่มี | 1 | W Boson | 1 | ไม่มี | คู่ | ไม่มี | 2 | ฮิกส์ | 1 | ไม่มี | เป็นเจ้าของ | ไม่มี | 1 | จำนวนอนุภาคมูลฐาน (ที่รู้จัก) ทั้งหมด: | 61 |
---|
ตามสูตรปัจจุบันมีอนุภาคมูลฐาน 61 อนุภาค อนุภาคมูลฐานเหล่านี้สามารถรวมตัวกันเป็นอนุภาคคอมโพสิตซึ่งมีจำนวนอนุภาคอื่น ๆ อีกหลายร้อยชนิดที่ถูกค้นพบตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960
พบว่าแบบจำลองมาตรฐานเห็นด้วยกับการทดสอบทดลองเกือบทั้งหมดที่ดำเนินการจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามนักฟิสิกส์อนุภาคส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นคำอธิบายที่ไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับธรรมชาติและทฤษฎีพื้นฐานที่รอการค้นพบ (ดูTheory of Everything ) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการวัดมวลนิวตริโน ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนการทดลองครั้งแรกจากแบบจำลองมาตรฐานเนื่องจากนิวตริโนไม่มีมวลในแบบจำลองมาตรฐาน
แนวคิดที่ว่าสสารทั้งหมดประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานตั้งแต่อย่างน้อยศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ในศตวรรษที่ 19 จอห์นดาลตันจากผลงานของเขาเกี่ยวกับสโตอิจิเมตริกสรุปได้ว่าแต่ละองค์ประกอบของธรรมชาติประกอบด้วยอนุภาคชนิดเดียวที่ไม่ซ้ำกัน คำว่าอะตอมตามหลังคำภาษากรีกatomosซึ่งมีความหมายว่า "แบ่งแยกไม่ได้" นับ แต่นั้นมาก็หมายถึงอนุภาคที่เล็กที่สุดขององค์ประกอบทางเคมีแต่ในไม่ช้านักฟิสิกส์ก็ค้นพบว่าอะตอมไม่ได้เป็นอนุภาคพื้นฐานของธรรมชาติ แต่เป็นกลุ่มก้อน ของอนุภาคแม้มีขนาดเล็กเช่นอิเล็กตรอน การสำรวจฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์ควอนตัมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นำไปสู่การพิสูจน์นิวเคลียร์ฟิชชันในปีพ. ศ. 2482 โดยLise Meitner (จากการทดลองของOtto Hahn ) และการหลอมนิวเคลียร์โดยHans Betheในปีเดียวกันนั้น ทั้งการค้นพบนี้ยังนำไปสู่การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ตลอดช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 พบอนุภาคหลากหลายชนิดที่ทำให้สับสนในการชนกันของอนุภาคจากลำแสงที่มีพลังงานสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ มันถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า " สวนสัตว์อนุภาค " ค้นพบที่สำคัญเช่นการละเมิด CPโดยเชนชิงวูนำคำถามใหม่เพื่อเรื่องความไม่สมดุลของปฏิสสาร คำว่าสวนสัตว์อนุภาคได้รับการแก้ไข[ ต้องการอ้างอิง ]หลังจากการกำหนดแบบจำลองมาตรฐานในช่วงปี 1970 ซึ่งมีการอธิบายอนุภาคจำนวนมากว่าเป็นการรวมกันของอนุภาคพื้นฐานจำนวนมาก (ค่อนข้างน้อย) ซึ่งเป็นเครื่องหมายของ จุดเริ่มต้นของฟิสิกส์อนุภาคสมัยใหม่
สถานะปัจจุบันของการจำแนกประเภทของอนุภาคมูลฐานทั้งหมดจะมีการอธิบายโดยรุ่นมาตรฐานซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในปี 1970 ในช่วงกลางหลังจากที่ยืนยันการทดลองของการดำรงอยู่ของควาร์ก มันอธิบายที่แข็งแกร่ง , อ่อนแอและแม่เหล็กไฟฟ้า พื้นฐานการสื่อสารโดยใช้ไกล่เกลี่ยวัด bosons สายพันธุ์ของเกจโบซอนคือแปดกลูออนว-, ว+ และ Zbosonsและโฟตอน รุ่นมาตรฐานนอกจากนี้ยังมี 24 พื้นฐาน เฟอร์มิออน (12 อนุภาคและที่เกี่ยวข้องป้องกันอนุภาคของพวกเขา) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของทุกเรื่อง สุดท้ายรุ่นมาตรฐานยังทำนายการดำรงอยู่ของประเภทของที่boson ที่รู้จักในฐานะBoson ฮิกส์ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 นักฟิสิกส์ของ Large Hadron Collider ที่ CERN ได้ประกาศว่าพวกเขาพบอนุภาคใหม่ที่มีลักษณะคล้ายกับสิ่งที่คาดหวังจากฮิกส์โบซอน
นอกจากนี้ยังมีเครื่องเร่งอนุภาคอื่น ๆอีกมากมาย
เทคนิคที่จำเป็นสำหรับฟิสิกส์อนุภาคทดลองสมัยใหม่นั้นค่อนข้างหลากหลายและซับซ้อนซึ่งประกอบไปด้วยความพิเศษเฉพาะย่อยที่แตกต่างกันเกือบทั้งหมด[ ต้องการอ้างอิง ]จากด้านทฤษฎีของสนาม
ฟิสิกส์อนุภาคเชิงทฤษฎี พยายามที่จะพัฒนาแบบจำลองกรอบทฤษฎีและเครื่องมือทางคณิตศาสตร์เพื่อทำความเข้าใจการทดลองในปัจจุบันและทำการคาดการณ์สำหรับการทดลองในอนาคต (ดูฟิสิกส์เชิงทฤษฎีด้วย ) มีความพยายามที่เกี่ยวข้องกันหลายอย่างที่เกิดขึ้นในฟิสิกส์อนุภาคเชิงทฤษฎีในปัจจุบัน
สาขาที่สำคัญอย่างหนึ่งพยายามทำความเข้าใจStandard Modelและการทดสอบให้ดีขึ้น นักทฤษฎีทำการคาดการณ์เชิงปริมาณของสิ่งที่สังเกตได้ที่colliderและการทดลองทางดาราศาสตร์ซึ่งใช้ร่วมกับการวัดเชิงทดลองเพื่อแยกพารามิเตอร์ของ Standard Model ที่มีความไม่แน่นอนน้อยกว่า งานนี้เป็นการตรวจสอบข้อ จำกัด ของแบบจำลองมาตรฐานดังนั้นจึงขยายความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของธรรมชาติ ความพยายามเหล่านั้นจะทำสิ่งที่ท้าทายความยากลำบากในการคำนวณปริมาณความแม่นยำสูงในchromodynamics ควอนตัม บางทฤษฎีที่ทำงานในพื้นที่นี้ใช้เครื่องมือของ perturbative ทฤษฎีสนามควอนตัมและทฤษฎีสนามที่มีประสิทธิภาพหมายถึงตัวเองว่าเป็นphenomenologists [ ต้องการอ้างอิง ]อื่น ๆ ทำให้การใช้ทฤษฎีสนามตาข่ายและเรียกตัวเองว่าขัดแตะทฤษฎี
ความพยายามที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการสร้างแบบจำลองซึ่งผู้สร้างแบบจำลองได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ฟิสิกส์อาจอยู่นอกเหนือจากแบบจำลองมาตรฐาน (ที่พลังงานสูงกว่าหรือในระยะทางที่น้อยกว่า) งานนี้มักได้รับแรงจูงใจจากปัญหาลำดับชั้นและถูก จำกัด โดยข้อมูลการทดลองที่มีอยู่ [ ต้องการอ้างอิง ]อาจเกี่ยวข้องกับการทำงานเกี่ยวกับความสมมาตรเหนือทางเลือกของกลไกฮิกส์มิติเชิงพื้นที่เพิ่มเติม (เช่นแบบจำลองแรนดอล - ซุนดรัม ) ทฤษฎีพรีออนการผสมผสานของสิ่งเหล่านี้หรือแนวคิดอื่น ๆ
ความพยายามที่ใหญ่เป็นอันดับสามในฟิสิกส์อนุภาคทฤษฎีคือทฤษฎีสตริง
นักทฤษฎีสตริงพยายามสร้างคำอธิบายแบบรวมของกลศาสตร์ควอนตัมและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปโดยการสร้างทฤษฎีโดยใช้สตริงขนาดเล็กและแบรนมากกว่าอนุภาค
หากทฤษฎีนี้ประสบความสำเร็จอาจถือได้ว่าเป็น " Theory of Everything " หรือ "TOE"
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่อื่น ๆ ของการทำงานในทางทฤษฎีฟิสิกส์ของอนุภาคตั้งแต่จักรวาลอนุภาคที่จะห่วงแรงโน้มถ่วงควอนตัม [ ต้องการอ้างอิง ]
การแบ่งความพยายามในฟิสิกส์ของอนุภาคนี้สะท้อนให้เห็นในชื่อของหมวดหมู่ในarXivซึ่งเป็นไฟล์เก็บถาวรแบบเตรียมพิมพ์ : [23] hep-th (ทฤษฎี), hep-ph (ปรากฏการณ์วิทยา), hep-ex (การทดลอง), hep-lat ( ทฤษฎีการวัดตาข่าย )
โดยหลักการแล้วฟิสิกส์ทั้งหมด (และการประยุกต์ใช้งานจริงที่พัฒนาขึ้นจากนั้น) ได้มาจากการศึกษาอนุภาคพื้นฐาน ในทางปฏิบัติแม้ว่า "ฟิสิกส์อนุภาค" จะหมายถึงเพียง "นักทำลายอะตอมพลังงานสูง" แต่เทคโนโลยีหลายอย่างก็ได้รับการพัฒนาขึ้นในระหว่างการสำรวจบุกเบิกเหล่านี้ซึ่งต่อมาพบว่ามีประโยชน์อย่างกว้างขวางในสังคม เครื่องเร่งอนุภาคที่ใช้ในการผลิตไอโซโทปทางการแพทย์สำหรับการวิจัยและการรักษา (เช่นไอโซโทปที่ใช้ในการถ่ายภาพ PET ) หรือใช้โดยตรงในการรักษาด้วยรังสีแสงภายนอก การพัฒนาตัวนำยิ่งยวดได้รับการผลักดันไปข้างหน้าโดยใช้ในฟิสิกส์ของอนุภาค เทคโนโลยีเวิลด์ไวด์เว็บและหน้าจอสัมผัสได้รับการพัฒนาครั้งแรกที่เซิร์น พบแอปพลิเคชันเพิ่มเติมในด้านการแพทย์ความมั่นคงของประเทศอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์วิทยาศาสตร์และการพัฒนาบุคลากรซึ่งแสดงให้เห็นถึงรายการแอปพลิเคชันที่เป็นประโยชน์ที่มีมายาวนานและเพิ่มมากขึ้นโดยมีส่วนร่วมจากฟิสิกส์อนุภาค
เป้าหมายหลักซึ่งจะไล่ตามในรูปแบบที่แตกต่างกันหลายคือการค้นหาและเข้าใจในสิ่งที่ฟิสิกส์อาจอยู่เกินกว่ารุ่นมาตรฐาน มีเหตุผลหลายประการทดลองที่มีประสิทธิภาพที่จะคาดหวังฟิสิกส์ใหม่ ๆ รวมทั้งมีสสารมืดและมวลนิวตริโน นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำทางทฤษฎีที่ควรพบฟิสิกส์ใหม่นี้ในระดับพลังงานที่สามารถเข้าถึงได้
ความพยายามอย่างมากในการค้นหาฟิสิกส์ใหม่นี้มุ่งเน้นไปที่การทดลอง collider ใหม่ Large Hadron Collider (LHC) เสร็จสมบูรณ์ในปี 2008 เพื่อช่วยเหลือยังคงค้นหาสำหรับBoson ฮิกส์ , อนุภาคเมและฟิสิกส์ใหม่อื่น ๆ เป้าหมายระดับกลางคือการสร้างInternational Linear Collider (ILC) ซึ่งจะช่วยเสริม LHC โดยช่วยให้สามารถวัดคุณสมบัติของอนุภาคที่เพิ่งค้นพบได้แม่นยำยิ่งขึ้น ในเดือนสิงหาคม 2547 มีการตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีของ ILC แต่ยังคงต้องตกลงกันในเว็บไซต์
นอกจากนี้ยังมีการทดลองที่มีความสำคัญไม่ใช่ Collider ที่ยังพยายามที่จะหาและเข้าใจฟิสิกส์เกินกว่ารุ่นมาตรฐาน ความพยายามที่ไม่ใช้คอลไลเดอร์ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการกำหนดมวลนิวตริโนเนื่องจากมวลเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากนิวตริโนผสมกับอนุภาคที่หนักมาก นอกจากนี้การสังเกตการณ์ทางจักรวาลวิทยายังให้ข้อ จำกัด ที่เป็นประโยชน์มากมายเกี่ยวกับสสารมืดแม้ว่าจะไม่สามารถระบุลักษณะที่แน่นอนของสสารมืดได้หากไม่มี colliders ก็ตาม ในที่สุดขอบเขตที่ต่ำกว่าของอายุการใช้งานที่ยาวนานของโปรตอนทำให้เกิดข้อ จำกัด ของGrand Unified Theoriesที่ระดับพลังงานสูงกว่าการทดลองแบบ collider จะสามารถตรวจสอบได้ทุกเมื่อในไม่ช้า
ในเดือนพฤษภาคม 2014
คณะกรรมการจัดลำดับความสำคัญของโครงการฟิสิกส์อนุภาคได้เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับลำดับความสำคัญในการระดมทุนฟิสิกส์อนุภาคสำหรับสหรัฐอเมริกาในทศวรรษหน้า
รายงานนี้เน้นย้ำถึงการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯใน LHC และ ILC อย่างต่อเนื่องและการขยายการทดลอง Deep Underground Neutrinoรวมถึงคำแนะนำอื่น ๆ
———————————
———————————
———————————
rmutphysics | Quizizz | site.google | krukird |
---|